
คุณเคยสงสัยไหมว่า ทำไมงานแสดงสินค้า OTOP ที่ไปตามต่างจังหวัด โดยเฉพาะในพื้นที่ชายแดนภาคใต้ถึงมีมนต์ขลังที่แตกต่างจากที่อื่น? ท่ามกลางกระแส Digital Disruption ที่ใครๆ ก็บอกว่าโลกออนไลน์กำลังกลืนกินออฟไลน์ ข้อมูลเชิงลึกกลับชี้ไปในทิศทางตรงกันข้าม โดยเฉพาะเมื่อเราพูดถึง "พฤติกรรมคนท้องถิ่นกับงาน OTOP"
ในขณะที่แบรนด์ส่วนใหญ่ทุ่มงบประมาณไปกับการยิง Ads บนหน้าจอสมาร์ทโฟน จนค่าคลิก (CPC) พุ่งสูงเสียดฟ้า กลับมี "มหาสมุทรสีคราม" (Blue Ocean) แห่งการมีส่วนร่วม (Engagement) ที่ถูกมองข้ามไป จากสถิติภาคสนามและการวิเคราะห์พฤติกรรมผู้บริโภคในปีที่ผ่านมาโดยทีมงาน Bluesky พบตัวเลขที่น่าตกใจ: ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ อัตราการเข้าร่วมงาน OTOP (Footfall Traffic) มีค่าเฉลี่ยความถี่สูงกว่าพื้นที่ส่วนกลางถึง 45%
สิ่งที่น่าสนใจยิ่งกว่าคือ ระยะเวลาที่ใช้ในงาน (Dwell Time) ครอบครัวในพื้นที่ใช้เวลาเฉลี่ยถึง 3.5 - 4 ชั่วโมงต่อการเดินงานหนึ่งครั้ง ซึ่งมากกว่าค่าเฉลี่ยของคนเดินห้างในกรุงเทพฯ เกือบ 2 เท่า! ตัวเลขนี้ไม่ได้บอกแค่ว่า "คนชอบเดินงาน" แต่มันกำลังตะโกนบอกนักการตลาดและสปอนเซอร์ว่า "พื้นที่แห่งนี้คือขุมทรัพย์ของ Brand Experience" ที่หน้าจอสมาร์ทโฟนไม่สามารถทดแทนได้
การจับจ่ายในพื้นที่นี้ไม่ใช่แค่ธุรกรรมทางการเงิน แต่คือ "พิธีกรรมทางสังคม" ที่รวบรวมครอบครัว ชุมชน และความไว้วางใจเข้าไว้ด้วยกัน นี่คือโอกาสที่หาไม่ได้จากแพลตฟอร์ม E-commerce ทั่วไป และ Blueskylab จะพาคุณไปไขรหัสลับนี้ด้วยกัน เพื่อเปลี่ยนความเข้าใจเดิมๆ ให้กลายเป็นยอดขายที่จับต้องได้
ในหลายๆจังหวัดทั่วประเทศไทย โดยเฉพาะจังหวัดภาคใต้ เช่น ยะลา ปัตตานี นราธิวาส สงขลา งาน OTOP ทำหน้าที่แทนห้างสรรพสินค้าและพื้นที่กิจกรรมครอบครัว เพราะคนในพื้นที่ นิยมกิจกรรมที่จับต้องได้จริง
· เดินตลาด
· ชิมอาหาร
· พาเด็กเที่ยว
ซื้อของฝากกลับบ้านจึงทำให้งาน OTOP กลายเป็นพื้นที่ที่คนทุกเพศทุกวัยมากันครบ
ตั้งแต่แม่บ้าน, กลุ่มวัยรุ่น, ครอบครัวใหญ่, จนถึงผู้ประกอบการ SMEs
ตัวเลขเฉลี่ยจากหลายจังหวัดชี้ว่า
งาน 10 วัน สามารถดึงคนได้ 70,000 – 150,000 คน
พฤติกรรม “เดินทุกวัน” เป็นเรื่องปกติ โดยเฉพาะช่วงเย็น–ค่ำที่อากาศดี
ทำให้ยอดขายในงานมักจะพุ่งขึ้นแบบก้าวกระโดดในช่วง 16.00–19.30 น.
และจากตัวเลขยอดขายของงาน OTOP ชายแดนใต้ ที่ตระเวนจัดงานทั่วประเทศ มียอดขายไม่ต่ำกว่า 30 ล้าน/งาน หากดูภาพรวมระดับประเทศ งาน OTOP Midyear ทำยอดขายรวมได้ระดับ 400–770 ล้านบาทต่อครั้ง สะท้อนให้เห็นว่า ผู้คนที่เดินงาน OTOP ไม่ได้มาเดินเล่น — พวกเขามาพร้อมกระเป๋าสตางค์และความตั้งใจจะซื้อ เมื่อเชื่อมตัวเลขเหล่านี้กับพฤติกรรมของคนแต่ละเจเนอเรชัน จึงน่าสนใจว่าคนท้องถิ่นคิดอะไรอยู่หน้าบูธ และแบรนด์ควรเข้าไปอยู่ตรงไหนของเส้นทางการจับจ่ายเหล่านี้

งาน OTOP ชายแดนใต้ = สนามทดสอบของ High Spending Crowd
ทำไมคนถึงยอมควักกระเป๋าในงาน OTOP มากกว่าที่อื่น? งาน OTOP และงานแฟร์ของดีชายแดนใต้มีจุดแข็ง 3 ประการที่ทำให้คนที่มางาน "มาพร้อมเป้าหมายจะซื้อ" ไม่ใช่แค่มาเดินชิลล์ๆ:
1. Unique Product Attraction: สินค้าที่หาทานยาก มีเอกลักษณ์เฉพาะถิ่น อาหารใต้รสจัด เช่น แกงไตปลา น้ำบูดู ขนมจีนน้ำยาปักษ์ใต้ / ผ้าบาติกและผ้าปาเต๊ะ / สินค้าแฟชั่นมุสลิม / ของหัตถกรรมจากชุมชน — สินค้าเหล่านี้ไม่ค่อยมีขายในห้างหรือออนไลน์ทั่วไป ทำให้คนที่อยากได้ต้องมาซื้อหน้างานจริงๆ
2. Emotional Trigger: ช่วยชุมชน = รู้สึกดี การสื่อสารของ ศอ.บต. และหน่วยงานภาครัฐเน้นว่า การซื้อของในงานคือการช่วยสร้างรายได้ให้ผู้ประกอบการชายแดนใต้ ซึ่งเป็น Soft Power ที่ทำให้ผู้บริโภครู้สึกภูมิใจและพึงพอใจที่ได้ "ซื้อแล้วได้ทั้งของดีและได้ช่วยชุมชน"
3. Festival Vibe: งานถูกออกแบบให้เป็น One-stop Destination สำหรับการ ชิม-ช้อป-เช็คอิน ทำให้ระยะเวลาที่คนอยู่ในงาน (Time spent) นานขึ้น ซึ่งแปรผันตรงกับโอกาสในการเห็นแบรนด์และซื้อสินค้า
ผลลัพธ์: แบรนด์ที่เอาตัวเองไปวางไว้ใน Environment แบบนี้ เท่ากับคุณกำลังยืนอยู่ท่ามกลางคนที่ “พร้อมซื้อ” อยู่แล้ว เหลือแค่ว่าคุณจะเสนออะไรให้เขาให้น่าสนใจและดึงดูด
Gen Z: จากสายแสวงหาของใหม่ สู่แฟน Local Brand
ในงาน OTOP ยุคหลัง จะเห็นกลุ่มวัยรุ่น–วัยเริ่มทำงานเดินงานมากขึ้นเฉพาะบริเวณโซนอาหาร ของหวาน สินค้า Beauty และของใช้ดีไซน์จัด นี่คือโลกของ Gen Z ที่เข้ามาด้วย Mindset “มาเจออะไรแปลกใหม่ให้ถ่ายรูป–ลอง–แชร์” มากกว่าแค่มาซื้อของฝากธรรมดา
ทำไม Gen Z ถึงเปิดใจให้ OTOP ผลสำรวจผู้บริโภคปี 2025 พบว่า กลุ่มอายุต่ำกว่า 29 ปีให้ความสนใจสินค้าไทยและแบรนด์ท้องถิ่นมากขึ้น โดยเฉพาะของกิน ความงาม ไลฟ์สไตล์ และแฟชั่นที่ดีไซน์สวยทันสมัย
เหตุผลที่หยิบสินค้าไทย คือ คุณภาพดี ราคาสมเหตุสมผล ดีไซน์และแพ็กเกจจิ้งสวย และมี Story ที่เล่าแล้วรู้สึกเท่ เช่น ที่มาของวัตถุดิบ ชุมชน หรือความรักษ์โลก
พฤติกรรมในงาน OTOP
· Gen Z มักเดินงานเป็นกลุ่ม ถ่ายรูปมุมสวย อัดคลิปชิมเมนูแปลกใหม่ แล้วแชร์ผ่านโซเชียลเกือบจะ Real-time นั่นหมายความว่า ทุกคำชิมคือ “สื่อ Earned Media” ที่อาจขยายต่อไปนอกงานได้อีกหลายเท่า
· พวกเขาชอบทดลองของใหม่ในราคาพอรับได้ เช่น ขนม แพ็กเล็ก เมนูเครื่องดื่ม หรือโปรดักต์ Beauty/Skincare OTOP ที่ออกแบบ Packaging ดีและมีจุดยืนชัดเจน
โอกาสเชิง Creative Marketing สำหรับแบรนด์
· ออกแบบบูธให้เป็น “Local Pop-up Lab” ที่เปิดโอกาสให้ลองชิม ลองใช้ พร้อมจุดถ่ายรูป และแฮชแท็กเฉพาะของแบรนด์หรืองาน
· ทำ Collaboration ระหว่าง FMCG/แบรนด์ใหญ่ กับสินค้า Local เช่น เมนูพิเศษเฉพาะงานที่ใช้วัตถุดิบจากชายแดนใต้
· ใช้ QR, AR หรือฟิลเตอร์โซเชียล เพื่อเล่า Story สินค้าและชุมชนผ่านมือถือในจังหวะที่คนกำลังยืนต่อคิวหรือชิม
· ถ้าเข้าใจ Gen Z ว่าพวกเขามองงาน OTOP เป็นสนามทดลองของใหม่และพื้นที่สร้างตัวตนบนโซเชียล แบรนด์ก็สามารถออกแบบประสบการณ์ที่ให้ทั้ง “รสชาติ” และ “คอนเทนต์” ไปพร้อมกันได้
Gen Y/X ซื้ออะไร? ทำไมถึงเป็นกลุ่มหลักของงาน OTOP?
กลุ่ม Gen Y (25–40 ปี) และ Gen X (41–55 ปี)
เป็น Backbone ของยอดขายในงาน OTOP เพราะพวกเขามีกำลังซื้อจริง มาพร้อมครอบครัว และมักซื้อสินค้าในปริมาณมาก
พฤติกรรมเด่นของกลุ่มนี้:
· ซื้อของฝาก ของกิน ของใช้ในบ้าน และสินค้าแฟชั่นคุณภาพดี
· พวกเขามาเพื่อซื้อ ของฝากกลับบ้าน / ของกินส่งเพื่อน / ของใช้ที่มีคุณภาพ เช่น ผ้าไหม ผ้าบาติก กระเป๋าหนัง สินค้าสุขภาพ และอาหารแปรรูปที่ทนทาน
· คำนึงถึงคุณภาพ ความคุ้มค่า และมาตรฐาน
· Gen Y/X จะใช้เวลาดูป้ายมาตรฐาน OTOP (3–5 ดาว) ถามรายละเอียดส่วนผสม วันหมดอายุ และเปรียบเทียบราคา — พวกเขา ไม่ตัดสินใจแบบหุนหันพลันแล่น แต่ถ้าชอบแล้ว จะซื้อเยอะและซื้อซ้ำ
· โปรโมชันหน้างานมีผลต่อการตัดสินใจอย่างมาก
· การวิจัยพบว่า กลุ่ม Gen Y/X มักซื้อเพิ่มเมื่อมี โปรโมชันแบบ Bundle (เช่น ซื้อ 3 แถม 1), ส่วนลดสำหรับลูกค้าประจำ หรือโปรแกรมสะสมแต้ม
Creative Marketing Ideas สำหรับ Gen Y/X
· Family Pack / Office Pack
· จัดแพ็กเกจพิเศษที่เหมาะกับการซื้อกลับไปแบ่งครอบครัวหรือเพื่อนร่วมงาน เช่น "ชุดของฝากครบครัน 5 ชิ้น ราคาพิเศษ"
· บูธ "ศูนย์กลางของฝาก"
· วางตำแหน่งให้ชัดว่า บูธของคุณคือ One-Stop Shop สำหรับของฝากคุณภาพ มีการจัดเรียงสินค้าแบบ Categorized (หวาน–เค็ม–ของใช้–แฟชั่น) และมีพนักงานแนะนำที่พูดคุยได้
· CRM + สมาชิก
· เปิดให้สมัครสมาชิกหน้าบูธ มีระบบสะสมแต้มหรือส่วนลดพิเศษที่ใช้ได้ทั้งหน้างานและออนไลน์ — ช่วยเปลี่ยน One-Time Buyer เป็น Repeat Customer
Boomers / Silver Gen: จากความเชื่อใจ สู่การซื้อซ้ำ ผู้สูงอายุและกลุ่ม 50+ ต้องการอะไรในงาน OTOP?
· กลุ่ม Boomers และ Silver Gen (50 ปีขึ้นไป) เป็น กลุ่มที่ซื้อน้อยครั้ง แต่ซื้อมาก และเมื่อพวกเขาเชื่อใจแล้ว จะกลายเป็นลูกค้าประจำที่มีความภักดีสูง
Insight สำคัญ:
· เน้นสินค้ากลุ่มสุขภาพ สมุนไพร อาหารเพื่อสุขภาพ และของใช้ในบ้าน
· พวกเขาชอบสินค้าที่ "ใช้งานได้จริง ทนทาน ไม่มีสารเคมี" เช่น ชาสมุนไพร น้ำมันมะพร้าว สบู่ธรรมชาติ ผ้าขนหนู หมอนหนุน — สินค้าที่ตอบโจทย์ชีวิตประจำวัน
· ต้องการคำอธิบายที่ชัดเจน และพนักงานที่ใจเย็น
· กลุ่มนี้จะถามรายละเอียดเยอะ ต้องการเห็นป้ายแสดงส่วนผสม วันผลิต มาตรฐาน — บูธที่มีพนักงานอธิบายได้ดี มีที่นั่งพัก และไม่เร่งรีบ จะได้คะแนนมาก
· ซื้อยกลัง ซื้อเป็นเซ็ต และชอบบริการจัดส่ง
· หากสินค้าถูกใจ พวกเขามักซื้อในปริมาณมาก (เช่น ซื้อชาสมุนไพร 10 กล่อง หรือผ้าขนหนู 5 ผืน) — การมี บริการจัดส่งถึงบ้าน หรือ โปรซื้อยกลัง จะช่วยเพิ่มยอดขายได้มาก
Creative Marketing Ideas สำหรับ Silver Gen
· บูธที่เป็นมิตร: มีที่นั่ง มีป้ายใหญ่ มีตัวอักษรอ่านง่าย
· ออกแบบบูธให้ไม่แออัด มีพื้นที่ให้ลูกค้านั่งคุย ป้ายแสดงข้อมูลสินค้าใช้ฟอนต์ใหญ่ ชัดเจน — ความสะดวกสบายคือกุญแจสำคัญ
· โปรโมชัน "ซื้อยกลัง ส่งถึงบ้าน"
· เสนอแพ็กเกจพิเศษสำหรับการซื้อจำนวนมาก พร้อมบริการจัดส่งฟรีถึงบ้าน — ลดความยุ่งยากในการขนของ
· Co-Brand กับธนาคาร/ประกัน/เฮลท์แบรนด์
· ทำโปรโมชันร่วมกับธนาคารที่มีฐานลูกค้าสูงอายุ เช่น ใช้บัตรเครดิตธนาคาร X รับส่วนลด 10% หรือ ซื้อครบ 1,000 บาท รับคูปองตรวจสุขภาพฟรี
งาน OTOP ชายแดนใต้ = Emotional + Rational Playground ของแบรนด์
เมื่อสังเคราะห์ข้อมูลทั้งหมด เราจะเห็นว่างาน OTOP คือพื้นที่ที่ความรู้สึก (Emotional) และเหตุผล (Rational) มาบรรจบกันในมุม Emotional: ผู้บริโภครู้สึกดีที่ได้สนับสนุนชุมชน ได้พาลูกหลานมาเดินเที่ยว ได้สัมผัสวิถีชีวิตท้องถิ่น ในมุมของยอดขายตัวเลขเม็ดเงินสะพัดระดับหลายสิบล้าน/งาน การันตีได้ว่านี่คือตลาดที่มีการซื้อขายจริง ไม่ใช่แค่กระแส ดังนั้น แบรนด์นอกจากจะ Promote ด้วยสื่อโฆษณาต่างๆแล้ว ยังสามารถใช้ Insight ผู้บริโภค OTOP เหล่านี้ มาออกแบบ Experience ให้ “แมตช์” กับคนแต่ละ Gen นี่คือโอกาสในการสร้าง Brand Love ที่จับต้องได้ที่สุดในระดับท้องถิ่น
บทสรุป: ให้ Bluesky Activation พาแบรนด์คุณเป็น Spotlight ในงาน
การเข้าใจ Insight เป็นจุดเริ่มต้นที่ดี แต่การ “ลงมือทำ” ให้เกิดผลลัพธ์หน้างานจริง ต้องอาศัยความเชี่ยวชาญและการบริหารจัดการที่แม่นยำที่ Bluesky Activation เราไม่ใช่แค่คนจัดอีเวนต์ แต่เราคือพาร์ทเนอร์ที่เชี่ยวชาญด้าน Local Media และ Activation ในพื้นที่ต่างจังหวัด โดยเฉพาะการเจาะตลาดผ่านงานมหกรรมระดับภูมิภาคอย่างงาน OTOP และงานของดีชายแดนใต้
สิ่งที่เราทำให้แบรนด์ของคุณได้:
· Strategic Media Planning: วางสื่อโฆษณา (Media Spot / OOH) ในจุดที่ Impact ที่สุดของงาน เพื่อดักสายตา High Spending Crowd ทุกทิศทาง
· Booth & Experience Design: ออกแบบและบริหารจัดการบูธที่ไม่ใช่แค่ตั้งโต๊ะขายของ แต่สร้าง Creative Experience ที่ดึงดูดคนแต่ละ Gen ตาม Insight ที่เราวิเคราะห์
· Sales & Operation Team: จัดหาทีมงานคุณภาพ ทั้งทีมเชียร์ขายและทีมแนะนำสินค้า ที่เข้าใจภาษาและพฤติกรรมคนท้องถิ่น พร้อมปิดการขายได้ทันที
หากคุณต้องการเปิดตัวสินค้าใหม่ เพิ่มการรับรู้ในจังหวัดหัวเมือง หรืออยากใช้ สปอนเซอร์งาน OTOP เป็นเครื่องมือเจาะตลาดแบบ Data-Driven
Bluesky Activation พร้อมเปลี่ยนพื้นที่งานแฟร์ ให้กลายเป็นเวทีที่แบรนด์ของคุณโดดเด่นเป็น Spotlight อย่างมีกลยุทธ์และวัดผลได้จริงครับ